ปราสาทแอนิก

ปราสาทแอนิก (อังกฤษ: Alnwick Castle) เป็นปราสาทซึ่งตั้งอยู่ในเมืองแอนิก เทศมณฑลนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ และเป็นที่พำนักของดยุคแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์

ดูสิ่งนี้ด้วย

ปราสาทถูกสร้างขึ้นหลังการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันและกลายเป็นป้อมปราการชายแดนที่มีความสำคัญ นอกกำแพงปราสาทเคยเกิดการต่อสู้ขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกนำไปสู่การสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามัลคอล์มที่ 3 แห่งสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1093 และครั้งที่สองนำไปสู่การจับกุมตัวพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1174 ปราสาทถูกพระราชทานให้แก่ตระกูลเพอร์ซีอันทรงอำนาจในคริสต์ศตวรรษที่ 14 และปัจจุบันยังคงเป็นทรัพย์สมบัติในครอบครองของลูกหลานตระกูลเพอร์ซี

ปราสาทหลังแรก

บิสไบรท์ ทีซอน ชาวแองโกล-แซกซันซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของแอนิกในช่วงก่อนการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันถูกชาวนอร์มันริบที่ดินและยกให้แก่กีลแบร์ เดอ เตสซง คนถือธงประจำพระองค์ของพระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิตในสมรภูมิเฮสติงส์ ปี ค.ศ. 1066 กีลแบร์ได้สร้างปราสาทเนินโครงสร้างไม้ขึ้นบนที่ดินดังกล่าวเพื่อใช้ในการควบคุมเส้นทางใหญ่สายเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการสัญจรระหว่างเหนือใต้ อันเป็นที่ตั้งของสะพานข้ามแม่น้ำแอน

สมรภูมิแอนิกครั้งที่ 1 ปี ค.ศ. 1093

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1093 ได้มีการทำสมรภูมิแอนิกครั้งที่ 1 นอกกำแพงปราสาท ก่อนหน้านั้นไม่กี่เดือนพระเจ้ามัลคอล์มที่ 3 แห่งสกอตแลนด์ได้บุกตอนเหนือของอังกฤษด้วยหวังที่จะแย่งชิงการควบคุมนอร์ธัมเบอร์แลนด์มาจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 หลังการสู้รบในที่กว้าง กองทัพของพระเจ้ามัลคอล์มได้เดินทางมาถึงปราสาทแอนิกในอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤศจิกายนและทำการปิดล้อมป้อมปราสาทปราการ โรเบิร์ต เดอ มาวบราย ผู้แทนของกษัตริย์อังกฤษได้รวบรวมกองกำลังเล็ก ๆ ที่ปราสาทแบมบะระและเดินทัพมาช่วยแอนิก แม้จะด้อยกว่าในด้านกำลังพล แต่โรเบิร์ตมาถึงโดยที่ชาวสกอตไม่ทันตั้งตัว พระเจ้ามัลคอล์มถูกปลงพระชนม์ในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

อีฟ เดอ เวสซี

ในปี ค.ศ. 1095 โรเบิร์ต เดอ มาวบรายก่อกบฏต่อพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 กีลแบร์ เดอ เตสซง บริวารของมาวบรายที่ซาบซึ้งกับการช่วยเหลือจากมาวบรายในช่วงการรุกรานของชาวสกอตเมื่อสองปีก่อนเข้าร่วมก่อกบฏด้วย ทว่าการปฏิวัติล้มเหลว กองทัพของกษัตริย์ถูกส่งขึ้นเหนือเพื่อมาปราบมาวบราย เขาถูกปิดล้อมในปราสาทแบมบะระและหนีไปปราสาทไทน์เมาธ์ แต่หลังจากนั้นก็ถูกจับกุมตัวและถูกริบดินแดน เตสซงเองก็ถูกริบดินแดนเช่นกัน ปราสาทแอนิกจึงตกอยู่ในการครอบครองของกษัตริย์ ในปี ค.ศ. 1096 พระเจ้าวิลเลียมที่ 2 ได้พระราชทานปราสาทให้แก่อีฟ เดอ เวสซีที่ได้ทำการปรับปรุงปราสาทใหม่ แม้จะยังคงเนินดินและโครงสร้างไม้ของป้อมปราการไว้ แต่เขาได้ปรับปรุงสิ่งก่อสร้างใหม่ด้วยการเพิ่มสนามอีกสองแห่งทางตะวันออกและตะวันตก วิลเลียม บุตรชายของเขา และยูสตาซ หลานชายของเขาได้ปรับปรุงปราสาทเพิ่มด้วยการสร้างบางส่วนขึ้นมาใหม่โดยเปลี่ยนจากไม้เป็นหิน

ยุคอนาธิปไตย

หลังพระเจ้าเฮนรีที่ 1 สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1135 ได้เกิดสงครามแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นระหว่างมาทิลดา ผู้เป็นพระราชธิดา กับสตีเฟน ผู้เป็นพระภาคิไนย อังกฤษตกอยู่ในสงครามกลางเมืองซึ่งเรียกกันว่ายุคอนาธิปไตยและพระเจ้าเดวิด กษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ได้ฉวยโอกาสในจังหวะนี้ สตีเฟนได้รับการสวมมงกุฎกษัตริย์ในวันคริสต์มาสของปี ค.ศ. 1135 และเพื่อเป็นการตอบโต้ พระเจ้าเดวิดได้เริ่มการบ่อนทำลายตอนเหนือของอังกฤษซึ่นกินเวลาหลายปีโดยอ้างว่าทำเพื่อสนับสนุนมาทิลดา การเรืองอำนาจในตอนเหนือของพระเจ้าเดวิดมั่นคงขึ้นเมื่อพระองค์ปรับปรุงป้อมปราการชายแดนของปราสาทคาร์ไลล์ และในปี ค.ศ. 1141 พระองค์ได้ตำแหน่งบิชอปแห่งเดอแรมมาอยู่ในการควบคุม ความทะเยอทะยานของพระองค์ถึงจุดจบที่สมรภูมิสแตนดาร์ดในปี ค.ศ. 1138 ซึ่งต่อสู้กันในคาวตันมอร์ ใกล้กับนอร์แธลเลอร์ตัน กองทัพของพระองค์พบกับความปราชัย แต่นอร์ธัมเบอร์แลนด์ยังคงอยู่ในมือของชาวสกอต และในยุคนี้เองที่มีการแบ่งพรมแดนโดยใช้แนวแม่น้ำทีส

สมรภูมิแอนิกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1174

ยุคอนาธิปไตยจบลงด้วยการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 พระโอรสของมาทิลดา พระองค์ทำการกอบกู้อำนาจของกษัตริย์กลับคืนมาหลังตกอยู่ในสงครามความขัดแย้งภายในเป็นเวลาหลายปี ในปี ค.ศ. 1157 เคาน์ตีทางเหนือได้กลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์ ซึ่งสร้างความข่มขื่นให้แก่ชาวสกอต ในปี ค.ศ. 1165 พระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ พระองค์รีบหาทางกอบกู้อาณาเขตที่เสียไปกลับคืนมา เมื่อการทูตล้มเหลว พระเจ้าวิลเลียมมองหาทางอื่นและในปี ค.ศ. 1173 ทรงร่วมในการก่อกบฏของเฮนรียุวกษัตริย์ กษัตริย์สกอตบุกตอนเหนือของอังกฤษในปี ค.ศ. 1173 และโจมตีปราสาทแอนิกกับป้อมปราการอื่น ๆ ในนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสู้รบ ทว่าพระเจ้าวิลเลียมเป็นแม่ทัพที่ไร้ฝีมือและแอนิกสามารถต้านทานการโจมตีของพระองค์ได้ ปีต่อมาพระเจ้าวิลเลียมทำการบุกและปิดล้อมปราสาทแอนิกอีกครั้ง กองกำลังปลดปล่อยขนาดเล็กของชาวอังกฤษซึ่งนำโดยรานูล์ฟ เดอ แกลนวิลล์เคลื่อนพลมาจากนิวคาสเซิล เข้าโจมตีชาวสกอตที่สมรภูมิแอนิกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1174 ซึ่งเป็นการกระทบกระทั่งกันมากกว่าการทำสมรภูมิ องครักษ์ของกษัตริย์พ่ายแพ้ต่อการโจมตีของชาวอังกฤษและพระเจ้าวิลเลียมถูกจับกุมตัว

การก่อกบฏ

ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 ปราสาทแอนิกยังคงอยู่ในมือของตระกูลเวสซี ต่อมาในปี ค.ศ. 1215 ยูสตาซ เดอ เวสซี เจ้าของปราสาทได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในบารอนที่ลงนามบังคับใช้แม็กนาคาร์ตา เรื่องนี้บวกกับเรื่องที่เขาถวายความเคารพแก่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ทำให้เขาขัดแย้งกับพระเจ้าจอห์นที่ได้สั่งให้ทำลายและเผาปราสาท หลังพระเจ้าจอห์นสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1216 ตระกูลกลับมาเป็นคนโปรดของกษัตริย์อีกครั้ง แต่เมื่อจอห์น เดอ เวสซีให้การสนับสนุนการก่อกบฏซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามบารอนครั้งที่ 2 เขาถูกริบปราสาทเป็นการชั่วคราว ปราสาทต้านทานการโจมตีได้ดีมาโดยตลอดและในปี ค.ศ. 1297 มันสามารถต้านทานการโจมตีของวิลเลียม วอลเลส ซึ่งได้ใจจากการคว้าชัยในสมรภูมิสเตอริงบริดจ์ในปี ค.ศ. 1297 และพยายามทำสงครามกับอังกฤษ เมื่อสายเพศชายของตระกูลเวสซีสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1297 ทรัพย์สมบัติถูกพระราชทานให้แก่แอนโธนี เบก บิชอปแห่งเดอแรม

ตระกูลเพอร์ซี

ในปี ค.ศ. 1309 ปราสาทถูกซื้อไปโดยเฮนรี เดอ เพอร์ซี (ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเอิร์ลและดยุคแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์) จากตระกูลซึ่งสืบเชื้อสายมาจากวิลเลียม เดอ เพอร์ซี (กีโยม เดอ แปซี) อัศวินนอร์มันผู้ให้การสนับสนุนพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ในการบุกอังกฤษ วิลเลียมทำหน้าที่ดูแลนอร์ม็องดีในช่วงที่พระเจ้าวิลเลียมไม่อยู่ แต่ได้เดินทางมาอังกฤษในปี ค.ศ. 1067 และได้รับรางวัลเป็นที่ดินใหญ่ใจกลางยอร์กเชอร์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ตระกูลขยายการครอบครองที่ดินและหลังจากได้แอนิกมา เฮนรี เดอ เพอร์ซีได้ทำการเปลี่ยนแปลงปราสาทให้เหมาะสมกับสถานะของตน เขาปรับปรุงและสร้างป้อมปราการตรงกลางขึ้นซึ่งเป็นการสร้างตัวตึกหลักขึ้นมาใหม่ ทว่าเขาแทบไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความสำเร็จเมื่อในปี ค.ศ. 1314 เขาต้องขี่ม้าขึ้นเหนือไปพร้อมกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 เพื่อตีปราสาทสเตอริงในการสู้รบซึ่งเป็นการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดของอังกฤษในสมรภูมิแบนน็อกเบิร์น เฮนรีถูกกองทัพสกอตแลนด์จับกุมตัวไปเรียกค่าไถ่ เขาเสียชีวิตในปีนั้นระหว่างกำลังเดินทางกลับแอนิก

สงครามชายแดน

หลังแบนน็อกเบิร์น นอร์ธัมเบิร์แลนด์ประสบกับความยากลำบาก โรเบิร์ต เดอะ บรูซนำกองทัพเข้าสู่เคาน์ตีเพื่อบีบอังกฤษให้ยอมรับเอกราชของสกอตแลนด์ การบริหารบ้านเมืองที่อ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 2 ไม่สามารถกำราบชาวสกอตได้ โรเจอร์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ขึ้นบริหารบ้านเมืองแทนได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกปี ค.ศ. 1328 แต่เมื่อเขาถูกล้มล้างอำนาจ สงครามก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวแอนิกตกอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากเป็นฐานที่มั่นในการปฏิบัติการ ที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นในปี ค.ศ. 1346 เมื่อเฮนรี เพอร์ซี เจ้าของปราสาทในขณะนั้นบัญชาการปีกขวาของกองทัพอังกฤษในสมรภูมิเนวิลล์ครอส ซึ่งพระเจ้าเดวิดที่ 2 ประสบกับความปราชัยและถูกจับกุมตัว

ยุคการปกครองของฝ่ายแลงคัสเตอร์

ในปี ค.ศ. 1399 เฮนรี โบลิงโบรก ซึ่งมีตระกูลเพอร์ซีให้การสนับสนุน ได้ปลดพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ออกจากตำแหน่งและขึ้นเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเฮนรี เพอร์ซีได้ขัดแย้งกับกษัตริย์คนใหม่และก่อกบฏต่อพระองค์ การปฏิวัติถูกปราบปรามที่สมรภูมิชูร์วสบรีปี ค.ศ. 1403 เฮนรีถูกปิดล้อมอยู่ในปราสาทแอนิก ภายใต้การคุกคามด้วยการยิงปืนใหญ่กองทัพของกษัตริย์บีบปราสาทให้ยอมจำนนได้ หลังจากนั้นปราสาทถูกริบและกลับไปอยู่ในการครอบครองของกษัตริย์จนกระทั่งพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ได้พระราชทานคืนให้แก่ตระกูลเพอร์ซีในปี ค.ศ. 1413

กำแพงเมือง

ชาวสกอตยังคงโจมตีนอร์ธัมเบอร์แลนด์อย่างต่อเนื่องตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 โดยเมืองแอนิกถูกโจมตีและเผาทำลายในปี ค.ศ. 1424 หลังประสบความสำเร็จในการวิ่งเต้นโน้มน้าวพระเจ้าเฮนรีที่ 6 เมืองได้รับพระราชทานใบอนุญาตก่อสร้างกำแพงเมืองในปี ค.ศ. 1433 และกลายเป็นหนึ่งในสองเมืองในนอร์ทัมเบอร์แลนด์ที่ทำได้ (อีกเมืองหนึ่งคือเบอริคอัพออนทวีด) ทว่าต้องใช้เวลานานในการรวบรวมเงินทุนและกว่าจะได้เริ่มลงมือก่อสร้างกำแพงก็ในคริสต์ทศวรรษ 1470 ระหว่างการก่อสร้างแอนิกถูกชาวสกอตโจมตีอีกครั้งในปี ค.ศ. 1448

สงครามดอกกุหลาบ

ในช่วงสงครามดอกกุหลาบตระกูลเพอร์ซีให้การสนับสนุนฝ่ายแลงคัสเตอร์และปราสาทแอนิกเป็นหนึ่งในสี่ปราสาทที่ใช้ในการป้องกันชายแดนตะวันออก (อีกสามปราสาท คือ ปราสาทแบมบะระ, ปราสาทดันสแตนบะระ และปราสาทวอร์เคิร์ธ) และใช้ในการนำเข้ากองกำลังเสริมจากสกอตแลนด์ ทว่าปราสาทแอนิกยอมจำนนต่อฝ่ายยอร์กหลังพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ได้ชัยชนะเด็ดขาดที่สมรภูมิทาวตันปี ค.ศ. 1461 แม้การต่อต้านจะยังคงหลงเหลืออยู่และปราสาทถูกเปลี่ยนมือหลายครั้ง แต่ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 1461 ถึงเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1462, ฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1462 ถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1463 และเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1463 ถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1464 ปราสาทอยู่ในการครอบครองของฝ่ายสนับสนุนแลงคัสเตอร์ ในปี ค.ศ. 1469 ปราสาทกลับมาอยู่ในการครอบครองของตระกูลเพอร์ซีอีกครั้ง

การเสื่อมลง

เจ้าของปราสาทแอนิกในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 คือทอมัส เพอร์ซี เอิร์ลที่ 7 แห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ ที่แม้จะเป็นชาวคาทอลิกแต่ก็เป็นคนโปรดของพระราชินีซึ่งเป็นชาวโปรเตสแตนต์ แต่ต่อมาก็ถูกลดบทบาทลงเมื่อพระราชินีทำการปฏิรูปศาสนา ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1569 ทอมัสเข้าร่วมการปลุกระดมทางเหนือเพื่อต่อต้านพระราชินีเอลิซาเบธ หลังประสบความปราชัยเขาได้หนีไปสกอตแลนด์ ทว่าพระเจ้าเจมส์ที่ 6 กษัตริย์โปรเตสแตนต์แห่งสกอตแลนด์ได้ขายเอิร์ลผู้ถูกขับไล่ออกจากประเทศคืนให้แก่อังกฤษและในปี ค.ศ. 1572 เขาถูกประหารชีวิตที่ยอร์ก ยศศักดิ์และทรัพย์สินของเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือปราสาทแอนิก ตกเป็นของเฮนรีผู้เป็นน้องชาย ทว่าเขาไม่ได้โปรดปรานแอนิกและอาศัยอยู่ที่ปราสาทวอร์เคิร์ธเป็นหลัก ปราสาทแอนิกจึงถูกทิ้งร้างและปล่อยปละละเลย

การรวมเข้ากับราชบัลลังก์

หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 ในปี ค.ศ. 1603 ราชบัลลังก์อังกฤษและสกอตแลนด์รวมเข้าด้วยกันเมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์สืบทอดราชบัลลังก์อังกฤษ (ในชื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ) ในช่วงนั้นแอนิกเจริญก้าวหน้าจากการค้าขายอันรุ่งเรืองตามเส้นทางใหญ่ทางเหนือ ปราสาทกลายเป็นที่มั่นชายแดนซึ่งไม่มีความจำเป็น ในยุคนั้นกำแพงเมืองกลายเป็นส่วนเกิน ภายหลังจึงถูกรื้อเอาหินไปใช้ในโครงการอื่น มีเพียงประตูตะวันออก (หรือหอคอนบอนด์เกต) ที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากใช้เป็นคุกคุมขังนักโทษ

พระราชวังกอทิก

ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1750 แอนิกมีความสำคัญมากขึ้นเมื่อฮิวจ์ เพอร์ซี เอิร์ลแห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ใช้ปราสาทเป็นที่พักอาศัยหลัก เขาได้มอบหมายให้เจมส์ เพน ต่อด้วยโรเบิร์ต อาดัม ปรับโฉมปราสาทใหม่เป็นที่พักอันโอ่อ่าตามแบบสถาปัตยกรรมกอทิก ทว่าปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 อัลเจอร์นอน เพอร์ซี ดยุคที่ 4 แห่งนอร์ธัมเบอร์แลนด์ได้มอบหมายให้เปลี่ยนปราสาทอีกครั้งโดยรื้อส่วนดัดแปลงทิ้งควบคู่กับการเปลี่ยนสิ่งก่อสร้างเป็นปราสาทยุคกลางแนววิคตอเรีย การปรับปรุงสร้างผลดีแก่ปราสาทที่กลายเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำละครและภาพยนตร์ เช่น

ภาพยนตร์

  • โรบินฮู้ด เจ้าชายจอมโจร (ค.ศ. 1990)
  • อลิซาเบธ ราชินีบัลลังก์เลือด (ค.ศ. 1998)
  • จอมโจรกู้แผ่นดินเดือด (ค.ศ. 2010)
  • ภาพยนตร์ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์

ละคร

  • แบล็ดแอดเดอร์ (ค.ศ. 1983)
  • สตาร์ เทรค: เดอะเน็กซ์เจเนอเรชัน (ค.ศ. 1991)
  • ไอแวนโฮ (ค.ศ. 1997)
  • เดอะ เวอร์จิน ควีน (ค.ศ. 2005)
  • เดอะ ฮอลโลว์ คราวน์ (ค.ศ. 2012)
  • ดาวน์ตันแอบบีย์ (ค.ศ. 2014/2015)

อ้างอิง

แสดงความคิดเห็น
เคล็ดลับ & คำแนะนำ
Filmsquare
4 august 2013
The outer bailey of Alnwick Castle was used in Harry Potter and the Philosopher's Stone (2001) to film Madame Hooch’s flying lesson scene, where Harry's skills are spotted by Professor McGonagall
Filmsquare
5 august 2013
Harry and Ron crash land the Ford Anglia into the Whomping Willow and barely escape on the grounds of Alnwick Castle in Harry Potter and the Chamber of Secrets (2002).
Sarah Medlicott
10 october 2019
What a great day. Not the cheapest but you can easily spend a whole day here. So much to do for all ages. From the fascinating history to Harry Potter Broomstick lessons. Highly recommended
Danielle .
4 september 2019
A location used in the first couple Harry Potter films. Beautiful courtyards to walk about, and they have several activities you can participate in, such as broom training, like in the first HP film.
Pink 386
12 june 2023
Incredible castle with lots to see and do. They're are three tours on the ground but we did the film tour, which takes roughly 45 mins. Also fascinating to learn about the family who still live there.
Cody Pullins
23 september 2012
It's an amazing historical structure that I've been incredibly fortunate enough to call home on and off since 2007. There are so many hidden passageways!
8.8/10
Amadeus และ 27,275 ผู้คนมากขึ้นได้รับที่นี่
แผนที่
0.2km from Bailiffgate, Alnwick NE66 1LX สหราชอาณาจักร ขอเส้นทาง
Mon-Sun 10:00 AM–5:30 PM

Alnwick Castle ในFoursquare

ปราสาทแอนิก ในFacebook

โรงแรมใกล้เคียง

ดูโรงแรมทั้งหมด ดูทั้งหมด
Budget Lodge

ตั้งแต่วันที่ $70

Nether Grange

ตั้งแต่วันที่ $111

White Swan Hotel

ตั้งแต่วันที่ $189

The Georgian Guesthouse

ตั้งแต่วันที่ $90

Castle Gate

ตั้งแต่วันที่ $105

The Oaks Hotel

ตั้งแต่วันที่ $142

สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำอยู่บริเวณใกล้เคียง

ดูทั้งหมด ดูทั้งหมด
เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Tenantry Column

The Tenantry Column is a monument to the south of Alnwick town centre,

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Brizlee Tower

Brizlee Tower (sometimes Brislee Tower) is a Grade 1 listed folly

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Hulne Priory

Hulne Priory is a monastery founded in the 13th century by the

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Edlingham Castle

Edlingham Castle is a small castle ruin, having Scheduled Ancient

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Warkworth Castle

Warkworth Castle is a ruined, although reasonably well preserved

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Nelson Memorial, Swarland

A relatively obscure memorial to Horatio Nelson, 1st Viscount Nelson,

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Cateran Hole

Cateran Hole is a circa 45m length cave set in the Gritstone of

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Chillingham Castle

Chillingham Castle is a medieval castle in the village of Chillingham

สถานที่ท่องเที่ยวที่คล้ายกัน

ดูทั้งหมด ดูทั้งหมด
เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Old Westbury Gardens

Old Westbury Gardens is the former estate of John Shaffer Phipps

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Lindisfarne Castle

Lindisfarne Castle is a 16th-century castle located on Holy Island,

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Casa Loma

Casa Loma (Spanish for Hill House) is now a museum and landmark in

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Dundurn Castle

Dundurn Castle is an historic Neoclassical architecture chateau on

เพิ่มในรายการที่ต้องการ
ฉันเคยมาที่นี่
มีผู้เข้าชม
Château de Châteauneuf

The Château de Châteauneuf, also known as the Château de Ch

ดูสถานที่ที่คล้ายกันทั้งหมด