ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ (English. London Heathrow Airport) หรือมักเรียกโดยย่อว่า ฮีทโธรว์ เป็นท่าอากาศยานที่มีการจราจรทางอากาศหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของประเทศสหราชอาณาจักร และทวีปยุโรป ในกรณีของจำนวนผู้โดยสาร และเป็นท่าอากาศยานที่หนาแน่นที่สุดของโลก ในกรณีของจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศ ดำเนินการโดย บริษัท ท่าอากาศยานอังกฤษ จำกัด (เดิมคือ องค์การท่าอากาศยานแห่งประเทศอังกฤษ)
ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองฮิลลิงดอน
ห่างจากตัวเมืองของกรุงลอนดอนประมาณ
24 กิโลเมตร (15 ไมล์)
เป็นหนึ่งในสามของท่าอากาศยานที่อยู่ในเขตของกรุงลอนดอนและปริมณฑล
อีกสองแห่งก็คือ ท่าอากาศยานลอนดอนซิตตี้
และท่าอากาศยานลอนดอนบิ๊กกิงฮิล
ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์มีทางวิ่งขนานกัน 2 ทางวิ่ง
ตามแนวทิศตัวออกและทิศตะวันตก และ มีอาคารผู้โดยสาร 4 อาคาร
โดยอาคารที่ 5 กำลังก่อสร้าง
และยังมีแผนปรับปรุงอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออกใหม่
รวมทั้งเพิ่มทางวิ่งอีกหนึ่งเส้นทางด้วย
ประวัติ
ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ เริ่มให้บริการช่วงทศวรรษ 1930 (พ.ศ.
2473) ดำเนินการโดย Fairey Aviation
ใช้สำหรับการผลิตและทดสอบการบินเป็นหลัก
ชื่อของท่าอากศยานตั้งตามชื่อของหมู่บ้าน Heath row
ที่ถูกทำลายไปจากการสร้างสนามบิน
ซึ่งประมาณการว่าอยู่บริเวณที่อาคารผู้โดยสาร 3 ตั้งอยู่ในปัจจุบัน
โดยในช่วงแรกยังไม่เปิดบริการแก่เที่ยวบินพาณิชย์
ซึ่งในขณะนั้นมีท่าอากาศยานยานโครยดอน เป็นท่าอากศยานหลัก
ฮีทโธรว์เปิดให้บริการการบินพาณิชย์ในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2490
โดยมีทางวิ่ง 3 ทางวิ่ง พร้อมกับอีก 3
ทางวิ่งที่กำลังก่อสร้างตามแผนแม่บทดั้งเดิม
ซึ่งใช้รองรับเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์พิสตัน
ที่ต้องการระยะทางวิ่งสั้นในการขึ้น-ลงจอด
และสามารถขึ้น-ลงจอดในทุกสภาพของทิศทางลม
ทางวิ่งผิวคอนกรีตอย่างรูปแบบในปัจจุบันเปิดใช้ในปี พ.ศ. 2496
โดยสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธ ที่ 2
และพระองค์ยังเสด็จมาเปิดอาคารผู้โดยสารหลังแรก อาคารยูโรปา
(หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า อาคารผู้โดยสาร 2) ในปี พ.ศ. 2498
และหลังจากนั้นไม่นานนัก อาคารโอเชียนิก (อาคารผู้โดยสาร 3)
ก็เปิดให้บริการ ส่วนอาคารผู้โดยสาร 1 เปิดใช้ในปี พ.ศ. 2511
ทำให้เกิดเป็นกลุ่มอาคารเต็มพื้นที่จุดศูนย์ของท่าอากาศยาน
และเป็นข้อจำกัดในการขยายตัวในอนาคต
ที่ตั้งของท่าอากาศยานซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงลอนดอนเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมนัก
เนื่องจากทิศทางของกระแสลม
ทำให้หลายๆสายการบินจะต้องบินเลียดต่ำผ่านตัวเมืองเป็นช่วงเวลาทั้ง
ร้อยละ 80 ของปี
ในขณะที่ท่าอากาศยานสำคัญของประเทศอื่นๆในภูมิภาคยุโรป
มักจะตั้งอยู่ทางเหนือหรือใต้ของตัวเมือง ทำให้ประสบปัญหาน้อยกว่า
ข้อเสียอีกประการหนึ่งคือ
ท่าอากาศยานอยู่เหนือระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 25 เมตร (83 ฟุต)
ทำให้เกิดปัญหาเรื่องหมอกอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2520 รถไฟใต้ดินเมืองลอนดอนให้ขยายเส้นทางมาถึงฮีทโธรว์
เชื่อมต่อการเดินทางจากใจกลางกรุงลอนดอนกับท่าอากาศยาน
อาคารผู้โดยสาร 4 สร้างห่างออกจาก 3 อาคารผู้โดยสารแรกลงมาทางใต้
และเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2529
ซึ่งเป็นอาคารให้บริการหลักของสายการบินบริติชแอร์เวย์
ในปี พ.ศ. 2530 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้แปรรูปรัฐวิสาหกิจ
การท่าอากาศยานอังกฤษ (British Airports Authority) มาเป็นบริษัทเอกชน
BAA
ซึ่งบริหารงานท่าอากาศยานฮีทโธรว์และท่าอากาศยานอื่นๆในสหราชอาณาจักรอีก
6 แห่ง
การก่อวินาศกรรม
- 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 กลุ่ม IRA
ให้วางระเบิดบริเวณลานจอดรถอาคารผู้โดยสาร 1 มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย
- 17 เมษายน พ.ศ. 2529 พบระเบิด semtex
ในถุงของสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ชาวไอริช
กำลังพยายามจะนำขึ้นเครื่องของสายการบินเอลอัล
โดยระเบิดถูกส่งมอบมาจากแฟนหนุ่มชาวจอร์แดน
ผู้ซึ่งเป็นพ่อของเด็กในท้อง
- พ.ศ. 2537 ฮีทโธรว์ตกเป็นเป้าหมาย 3 ครั้ง ในช่วงเวลา 6 วัน (8
มีนาคม, 10 มีนาคม และ 13 มีนาคม) โดยกลุ่ม IRA
เนื่องจากท่าอากาศยานฮีทโธรว์เป็นเป้าหมายสำคัญในการทำลายเศรษฐกิจของอังกฤษ
ทำให้ต้องหยุดทำการท่าอากาศยานไปหลายวัน
และการคุ้มกันมีความเข้มงวดมากขึ้นเพราะว่าสมเด็จพระราชินีนาถจะเดินทางกลับในวันที่
10 มีนาคม พอดี
- เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 กองทัพบกอังกฤษ 1000 นาย
เข้าตึงกำลังภายในฮีทโธรว์ เนื่องหน่ยวข่าวกรองรายงานว่า
กลุ่มอัลกออิดะ
อาจจะส่งจรวดระบิดโจมตีเครื่องบินของสายการบินสัญชาติอังกฤษหรืออเมริกัน
ในวันที่ 6 พฤศจิกายน จึงได้ประกาศใช้มาตรการความปลอดภัยใหม่
มีผลบัลคับใช้กับผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานประเทศสหราชอาณาจักร
- 10 สิงหาคม พ.ศ. 2549
ได้ประกาศปรับแผนการรักษาความปลอดภัยให้มีความเข้มงวดมากขึ้น
เพื่อป็องกันการโจมตีเที่ยวบินที่บินข้ามมหาสมุทรของกลุ่มอัลกออิดะ
โดยกฎใหม่มีผลบังคับใช้ทันที
และทำให้เกิดความล่าช้าและความไม่สะดวกสบายต่อผู้โดยสาร
ซึ่งมาตรการเหล่านี้รวมถึงข้อห้ามการนำกระเป๋าขึ้นเครื่องโดยสาร
ยกเว้นสิ่งของสำคัญเช่น เอกสารเดินทาง และอุปกรณ์หรือยารักษาโรค
โดยของที่เป็นของเหลวทุกชนิดจะต้องทดสอบโดยผู้โดยสารคนนั้นที่จุดตรวจ
ซึ่งต่อมาภายหลัง ได้มีการข้อผ่อนปรนสำหรับกรณียารักษาโรค
และนมเด็ก
- 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ได้ออกมาตรการใหม่
ให้บังคับใช้กับผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางออกจากท่าอากาศยานของประเทศสหราชอาณาจักร
[1]
โดยอนุญาตให้ของเหลวบางชนิดที่กำหนดไว้สามารถผ่านจุดตรวจเข้าไปได้
ส่วนของเหลวชนิดอื่นๆมีการกำหนดปริมาณที่สามารถนำขึ้นเครื่องโดยสารได้
อุบัติเหตุ
- 3 มีนาคม พ.ศ. 2491 Sabena Douglas DC3 Dakota
ตกจากเพราะสภาพอากาศที่เป็นหมอก ลูกเรือ 3 คน และผู้โดยสารอีก 19 จาก
22 คน เสียชีวิต
- 1 สิงหาคม พ.ศ. 2499 เครื่องบินทิ้งระเบิด XA897 Avro Vulcan
ของกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร ตกที่ท่าอากาศยานฮีทโธรว์
หลังจากพยายามจะนำเครื่องขึ้นในสภาพทัศนวิสัยไม่ดี
เดิมทีเครื่องบินลำนี้จะส่งมอบให้กับกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร
และกำลังกลับจากการบินสาธิตจากประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบินดีดตัวออกมาได้ทัน แต่นักบินอีก 4 คน
เสียชีวิต
- 27 ตุลาคม พ.ศ. 2508 Vickers Vanguard G-APEE ของ British
European Airway (BEA) บินมาจากอดินเบิร์ก
ขณะที่กำลังลงจอดโดยสภาพทัศนวิสัยไม่ดี พุ่งชนกับทางวิ่ง 28R ลูกเรือ
6 คน และผู้โดยสารทั้งหมด 30 คน เสียชีวิต
- 8 เมษายน 2511เครื่องบินโบอิง 707 G-ARWE ของ BOAC
เดินทางไปออสเตรเลีย โดยแวะผ่านสิงคโปร์
เครื่อยนต์เกิดลุกไหม้หลังจากนำเครื่องขึ้น
เครื่องยนต์หลุดออกจากตัวเครื่องบริเวณใกล้กับอ่างเก็บน้ำ Queen
Mother ที่ Datchet แต่นักบินสามารถนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินได้
ตัวเครื่องบินลุกไหม้ทั้งลำ มีลูกเรือ 1 คน และผู้โดยสาร 4 คน
เสียชีวิต ที่เหลืออีก 122 คน รอดชีวิต
- 3 กรกฎาคม 2511 Airspeed Ambassador G-AMAD ของ BKS Air Transport
ปีกเครื่องบินกระแทกกับพื้นขณะลงจอด
ทำให้เครื่องบินตกลงบนพื้นหญ้าและไถลไปทางอาคารผู้โดยสาร
ชนเข้ากับเครื่องบิน Hawker Siddeley Trident 2 ลำ ของ BEA
จนระเบิดลุกไหม้ ลูกเรือเสียชีวิต 6 คน และม้าที่บรรทุกมาอีก 8
ตัว
- 18 มิถุนายน พ.ศ. 2515 เครื่องบินHawker Siddeley Trident ของ BEA
เที่ยวบิน 548 บินจากฮีทโธรว์ไปยังกรุงบลัสเซลส์ ตกลงใกล้กับ Staines
ผู้โดยสาร 109 คน และ ลูกเรือ 9 คน ทั้งหมดเสียชีวิต
ฮีทโธรว์ในวันนี้
ในปัจจุบันท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ มีอาคารผู้โดยสารทั้งหมด 4
อาคาร (โดยอาคารที่ 5 กำลังก่อสร้าง) อาคารคลังสินค้า 1 อาคาร
เดิมทีนั้นฮีทโธรว์จะมีทางวิ่งทั้งหมด 6 เส้นทาง เป็นทางขนานกัน 3 คู่
วางตามแนวทิศทางที่ต่างกัน
แต่เนื่องจากความต้องการระยะทางวิ่งที่เพิ่มมากขึ้น
ฮีทโธรว์จึงเหลือทางวิ่งเพียงสองเส้น ตั้งตามแนวตะวันออก-ตะวันตก
ความยาว 3,901 และ 3,660 เมตร
ทั้งนี้ได้มีการศึกษาให้สร้างทางวิ่งอีกหนึ่งเส้นขนานไปกับทางวิ่งเดิม
เพื่อรองรับการจราจรที่หนาแน่นในอนาคต
ท่าอากาศยานฮีทโธรว์บริหารโดย BAA มาช้านาน ซึ่งในปัจจุบัน BAA
เป็นของบริษัทสัญชาติสเปน Ferrovial Group (Grupo Ferrovial)
รัฐบาลได้ออกข้อบังคับสำหรับเที่ยวบินช่วงเวลากลางคืน
ให้ใช้เครื่องบินที่มีเครื่องยนต์ที่มีเสียงเงียบตามข้อกำหนด
แต่อาจจะถูกระงับการบินได้ตลอดช่วงเวลากลางคืน
หากว่ารัฐบาลไม่รู้สึกพอใจคำตัดสินจาก European Court of Human
Rights
เพื่อป้องกันการค้ากำไรเกินควร ค่าธรรมเนียมลงจอดของสายการบินที่
BAA จะได้รับ กำหนดโดยกรมขนส่งทางอากาศของสหราชอาณาจักร (Inited
Kingdom Civil Aviation Authority) จนเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2546
ต้นทุนการลงจอดต่อผู้โดยสารหนึ่งคน เพิ่มขึ้นในอัตราเงินเฟ้อลบ 3%
ทำให้ต้นทุนในการลงจอดจะลดลงในเชิงราคาสัมบูรณ์ โดยในช่วงเดือนเมษายน
พ.ศ. 2546 ต้นทุนการลงจอดเฉลี่ยอยู่ที่ 6.13 ปอนด์
ซึ่งใกล้เคียงกับของท่าอากาศยานแก็ตริคและท่าอากาศยานสแตนสเต็ด
แต่เพื่อสะท้อนภาพความเป็นศูนย์กลางการบินที่ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก
กรมขนส่งทางอากาศของสหราชอาณาจักรจึงอนุญาตให้ BAA
เพิ่มค่าธรรมเนียมลงจอดที่อัตราเงินเฟ้อบวก 6.5% ต่อปี
สำหรับช่วงห้าปีแรก และเมื่ออาคารผู้โดยสาร 5 แล้วเสร็จ
ก็คาดว่าจะเพิ่มค่าธรรมเนียมลงจอดเป็น 8.63 ปอนด์
ต่อผู้โดยสารหนึ่งคน
ถึงแม้ว่าค่าธณรมเนียมลงจอดจะกำหนดโดย
กรมขนส่งทางอากาศของสหราชอาณาจักร และ BAA ก็ตาม
แต่การเก็บค่าธรรมเนียมลงจอดที่ท่าอากาศยานฮีทโธรว์จะจัดเก็บโดย
หน่วยงานเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร Airport Co-ordination Limited (ACL)
ซึ่งกำกับโดยกฎหมายอังกฤษและสหภาพยุโรป รวมทั้งหน่วยงานของ IATA
เงินทุนของ ACL มาจาก 10 สายการบินสัญชาติอังกฤษ บริษัทท่องเที่ยง และ
BAA
นอกจากนี้
กาารจราจรทางอากาศระหว่างฮีทโธรว์และสหรัฐอมเริกาจะควบคุมอย่างเข้มงวดโดยรัฐบาลของทั้งสองประเทศตามกฎบัตรเบอร์มิวด้าที่
2 ในแรกเริ่มนั้นจะอนุญาตให้เฉพาะสายการบินบริติชแอร์เวย์ แพนแอม
และทรานส์เวิลด์แอร์ไลน์
ที่สามารถบินออกจากฮีทโธรว์เข้าสู่สหรัฐอเมริกาได้ จนในปี พ.ศ. 2534
สายการบินแพนแอม และทรานส์เวิลด์แอร์ไลน์ขายสิทธิ์การบินให้กับ
ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ กับ อเมริกันแอร์ไลน์ ตามลำดับ
ส่วนสายการบินเวอร์จิ้นแอตแลนติกแอร์ไลน์ ได้รับสิทธิการบินภายหลัง
กฎบัตรเบอร์มิวด้านี้ไปขัดกับข้อตกลงเรื่องสิทธิการแข่งขันของสหราชอาณาจักรที่ให้ไว้กับประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป
ดังนั้นสหราชอาณาจักรจึงถูกสั่งให้ระงับกฎบัตรนี้ในปี พ.ศ. 2547
ท่าอากาศยานฮีโธรว์จะสามารถรองรับเครื่องบินแอร์บัส เอ 380
ได้ที่อาคารผู้โดยสาร 5 และที่ท่าจอด 6 ของอาคารผู้โดยสาร 3
โดยเครื่องบินแอร์บัส เอ380
จะให้บริการที่ฮีทโธรว์เป็นครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2550
อย่างไรก็ตามได้มีการทดสอบเครื่องเอ380 ที่ฮีทโธรว์แล้วเมื่อวันที่ 18
พฤษภาคม พ.ศ. 2549
[2]
ท่าอากาศยานฮีทโธรว์ถูกจัดอันดับให้เป็นท่าอากาศยานที่แย่ที่สุด
ในการจัดการสำรวจของ TripAdvisor จากผู้ตอบในสอบถามกว่า 4,000 คน
[3]
อนาคตของฮีทโธรว์
อาคารผู้โดยสาร 5
เมื่อ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม Stephen
Byers
ออกแถลงการว่ารัฐบาลอังกฤษลงมติอนุญาตให้สร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 5
ที่ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ได้
โดยอาคารผู้โดยสารหลังใหม่จะสร้างอยู่ภายในบริเวณที่ดินของท่าอากาศยาน
ทางฝั่งตะวันตก ซึ่งมีกำหนดการว่าจะเริ่มเปิดใช้ในวันที่ 30 มีนาคม
พ.ศ. 2551 เวลา 04:00 ตามเวลาท้องถิ่น
และคาดว่าจะเปิดใช้เต็มประสิทธิภาพได้ในปี พ.ศ. 2558
เมื่อเสร็จสมบูรณ์
ท่าอากาศยานฮีทโธรว์จะมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 90
ล้านคนต่อปี จากปัจจุบันที่ 68 ล้านคนต่อปี
โดยอาคารหลังใหม่มีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านปอนด์
และจะมีพนักงานเพิ่นขึ้นอีกประมาณ 20,000 คน
ทั้งนี้ยังจะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารระยะไกลอีกสองอาคาร
ซึ่งจะเชื่อมต่อระบบระหว่างอาคารผู้โดยสาร 5 จากทางใต้ดิน
และยังมีการขยายเส้นทางรถไฟใต้ดินให้เชื่อต่อจนถึงอาคารหลังใหม่
รวมถึงการต่อเส้นทางจากทางหลวง M25 เข้าเชื่อมกับอาคาร
อาคารผู้โดยสารหลังนี้ออกแบบโดย Richard Rogers Partnership
โดยอาคารหลัก (คอนคอร์ด เอ) จะมี 4 ชั้น
อยู่ภายใต้โครงสร้างหลังคาเดียวกัน ซึ่งจะรองรับจำนวนผู้โดยสารถึง 30
ล้านคนต่อปี และจะเป็นอาคารหลักที่บริติชแอร์เวย์
จะย้ายเที่ยวบินทั้งหมดมายังอาคารนี้ ยกเว้นเพียงเส้นทางที่ไป/มาจาก
สเปน, ออสเตรเลีย และอิตาลี จากข้อมูลของ BAA นอกจากอาคารหลักแล้ว
อาคารผู้โดยสาร 5 จะมีอาคารระยะไกลอีก 2 อาคาร (อาคารที่ 2
จะสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2554) จะมีหลุดจอดทั้งหมด 60 หลุดจอด
รวมทั้งหอบังคับการบินหลังใหม่ อาคารจอดรถ ความจุ 4,000 คัน
โรงแรมขนาด 600 เตียง
และการขยายการคมนาคมให้เข้าถึงตัวอาคารผู้โดยสารหลังใหม่
อาคารผู้โดยสาร 5 จะเตรียมหลุดสำหรับ เครื่องบินแอบัส เอ380
ไว้ที่อาคารระยะไกลหลังแรก (คอนคอร์ส บี)
ทางวิ่งเส้นที่ 3
สายการบินใหญ่ๆ โดยเฉพาะบริติชแอร์เวย์
ได้เรียกร้องให้มีการสร้างทางวิ่งที่ 3 ขึ้น
เพื่อรองรับการใช้งานอาคารผู้โดยสาร 5 โดยในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.
2546 Transport Secretary Alistair Darling ได้ออกหนังสือปกขาว
http://www.dft.gov.uk/aviation/whitepaper
Шаблон:En icon
รายงานการวิเคราะห์อนาคตการบินของสหราชอาณาจักร
ประเด็นของรายงานชุดนี้คือควรจะมีการสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 ภายในปี
พ.ศ. 2563 และให้ข้อมูลทางด้านผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
รวมถึงการสูญเสียโบสถ์เก่าแก่ด้วย
ทั้งนี้มีการเสนอให้สร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 6
เพื่อขยายขีดความสามารถจากการสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3
ซึ่งจะทำให้รองรับผู้โดยสารได้ 115 ล้านคนต่อปี แต่ในส่วนนี้
ยังไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าควรจะสร้างที่ใด และเมื่อไหร่
ปรับเปลี่ยนการขึ้น-ลง
มีการเสนอให้จัดระบบแบบผสม
ที่สามารถให้เครื่องบินขึ้นและลงจอดได้บนทางวิ่งเดียวกัน
ซึ่งในทางทฤษฎีจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพจาก 480,000 เที่ยวบินต่อปี
ในปัจจุบัน เป็น 550,000 เที่ยวบินต่อปี ได้
[4]
อาคารผู้โดยสารตะวันออก
BAA ได้ออกแถลงการเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่าอาคารผู้โดยสาร 2
จะปิดลงทันทีที่อาคารผู้โดยสาร 5 เปิดใช้งาน
เพื่อดำเนินการตามแผนปรับปรุงกลุ่มอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออก
(Heathrow East scheme) จากโครงการนี้จะทำให้ อาคารผู้โดยสาร 2 และ
อาคาร Queen
ถูกแทนที่ด้วยอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 30
ล้านคนต่อปี โครงการนี้มีกำหนดการเริ่มในปี พ.ศ. 2551
และจะสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2555
ปีเดียวกันกับที่กรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทั้งนี้
BAA ยังคงรอการอนุมัติที่จะเริ่มโครงการ แต่ก็มีการยืนยันแล้วว่า
อาคารผู้โดยสาร 2
จะปิดตัวลงอย่างแน่นอนไม่ว่าโครงการนี้จะได้ดำเนินการหรือไม่
[5] Шаблон:En icon
ปรับเปลี่ยนการจัดการอาคารผู้โดยสาร
เมื่ออาคารผู้โดยสาร 5 เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2551
อาคารผู้โดยสารจะเริ่มปรับเปลี่ยนระบบอาคารผู้โดยสารใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการกับการเคลื่อนย้ายผู้โดยสาร
โดย:
- อาคารผู้โดยสาร 1 - กลุ่มสตาร์อัลไลแอนซ์
- อาคารผู้โดยสาร 3 - กลุ่มวันเวิลด์ ยกเว้นบริติชแอร์เวย์ (สเปน
ออสเตรเลีย และอิตาลี) จะอยู่อาคารนี้จนกว่าอาคารระยะไกลที่ 2
จะแล้วเสร็จ
- อาคารผู้โดยสาร 4 - กลุ่มสกายทีม
และสายการบินที่ไม่ได้เข้าร่วมพันธมิตรสายการบินใดๆ
- อาคารผู้โดยสาร 5 - บริติช แอร์เวย์
ปรับปรุงอาคารผู้โดยสาร 3
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 BAA
ได้ออกประกาศว่าจะปรับเปลี่ยนอาคารผู้โดยสาร 3 เพื่อลดความคับคั่ง
และเพิ่มประสิทธิภาพระบบรักษาความปลอดภัย โดยจะแล้วเสร็จสิ้นปี พ.ศ.
2550
สายการบิน
อาคารผู้โดยสาร 1
- เซาท์แอฟริกันแอร์เวย์ (เคปทาวน์, โจฮันเนสเบิร์ก)
- ไซปรัสแอร์เวย์ (ปาโพส, ลาร์นาคา)
- ทรานแอโร (มอสโก-โมโมเดโดโว)
- บริติช แอร์เวย์ (กลาสโก, เคียฟ-โบริสปิล, โจฮันเนสเบิร์ก,
ซานฟรานซิสโก, เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก, โซเฟีย, ดึสเซลดอร์ฟ,
โตเกียว-นาริตะ, ทริโปลิ, นิวคาสเซิล, นิส, บาร์เซโลนา,
บูคาเรส-โอโตเพนี, บูดาเปสต์, เบอร์ลิน-เทเกล, ปราก, แฟรงค์เฟิร์ต,
มอสโคว-โมโมเดโดโว, มาดริด, มิลาน-มัลเปนซา, มิลาน-ลีนาเต, มิวนิค,
แมนเชสเตอร์, โรม-ฟีอูมีชีโน, ลอสเองเจลิส, ลาร์นาคา, ลิสบอน,
วอร์ซอว์, สตอกโฮล์ม-อาร์ลานดา, สตุทการ์ต, อดินเบิร์ก, อเบอร์ดีน,
เอเธนส์, ฮ่องกง, อิสตันบูล-อาตาตุร์ก, เฮลซิงกิ, แฮมเบิร์ก)
- บริติช แอร์เวย์ ที่ดำเนินการโดย จีบีแอร์เวย์ (คาซาบลังคา,
มาร์ราเคค, มาลัคกา, เฟซ)
- บีเอ็มไอ (กลาสโกว์, เจดดาห์, ดอร์แฮม ทีร์ วัลเลย์, ดับลิน,
เนเปิลส์, บรัสเซลส์, เบลฟาส์ทซิตี, ปาล์มา เดอ มอลลอร์คา,
มอสโค-โดโมเดโดโว, แมนเชสเตอร์, ริยาดห์, ลีดส์/แบรดฟอร์ด, ลียง,
เวนิส, อดินเบิร์ก, อเบอร์ดีน, อัมสเตอร์ดัม, อินเวิร์นเนส,
ฮันโอเวอร์)
- บีเอ็มไอ ที่ดำเนินการโดย บีเอ็มอีดี (การ์ทูม, ดาการ์, ดามัสคัส,
เตหราน, ทาบิริส, บากู, บิชเคก, เบรุต, ฟรีทาวน์, เยเรแวน,
อเล็กซานเดรีย, อเลปโป, อัมมาน, อัลมาตี, เอกาเตรินเบิร์ก, แองการา,
แอดดิสอาบาบา) (เริ่ม ตุลาคม พ.ศ. 2550)
- ฟินน์แอร์ (เฮลซิงกิ)
- โลท์ โปลิชแอร์เวย์ (วอร์ซอ)
- เอลอัล (เทลอาวีฟ, โอวดา)
- แอร์ลินกัส (คอร์ก, แชนนอน, ดับลิน)
อาคารผู้โดยสาร 2
- คลิกแอร์ (ลา โครูญา, วาเลนเซีย)
- โครเอเชียแอร์ไลน์ (ซาการ์ป, สปริต)
- แจตแอร์เวย์ (เบลเกรด)
- เชคแอร์ไลน์ (ปราก)
- ไชน่าอีสเทิร์นแอร์ไลน์ (เซี่ยงไฮ้-ผู่ตง)
- ซีเรียนอาหรับแอร์ไลน์ (ดามาสคัส)
- ซูดานแอร์เวย์ (คาร์ทูม)
- ตูนิสแอร์ (ตูนิส)
- ทาโรม (บูคาเรสท์-โอโตเพนิ)
- ทีเอพี โปรโตกัล (ปอร์โต, ฟังคัล, แฟโร, ลิสบอน)
- เบลวิวแอร์ไลน์ (ฟรีทาวน์, ลากอส)
- พูลโคโว เอวิเอชั่น เอนเตอร์ไพรซ์ (เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก)
- ยูเครนอินเตอร์เนขั่นแนลแอร์ไลน์ (เคียฟ-โบริสปิล)
- เยเมนเนีย (ซานา)
- รอยัลแอร์โมร็อค (คาซาบลังคา, แทงเจียร์, มาร์ราเคก)
- ลักซ์แอร์ (ลักแซมเบิร์ก)
- ลิเบียนแอร์เวย์ (ทริโปลิ)
- ลุฟต์ฮันซา (โคโลญ/โบนน์, ดึสเซลดอร์ฟ, แฟรงค์เฟิร์ต, มิวนิก,
ชตุทท์การ์ท, ฮัมบูร์ก)
- สวิตอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ (ซูริค)
- ออสเตรียนแอร์ไลน์ (เวียนนา)
- อัลอิตาเลีย (มิลาน-มัลเปนซา, มิลาน-ลีนาเต, โรม-ฟีอูมีชีโน)
- อัลอิตาเลีย เอ็กซ์เพรส (มิลาน-ลีนาเต)
- อาเซอร์ไบยันแอร์ไลน์ (บากู)
- อุสเบกิสถานแอร์เวย์ (ทาชเคนท์)
- เอวิอองคา (โบโกตา) (เริ่มให้บริการ 2551)
- แอร์เซย์เซลล์ (เซย์เซลล์)
- แอร์ฟรานซ์ (ปารีส-ชาลส์ เดอ โกล)
- แอร์ทรานแซท (โทรอนโต-เพียร์สัน)
- แอร์อัลเจรี (อัลเจียร์)
- แอร์อัสตานา (อัลมาตี)
- แอโรฟลอต (มอสโค-เชเรเมเตียโว)
- โอลิมปิกแอร์ไลน์ (เอเธนส์)
- ไอซ์แลนด์แอร์ (เรจาวิค-เคฟลาวิค)
- ไอบีเรีย (บิลบาว, บาร์เซโลนา, มาดริด, วาเลนเซีย)
- เฮมุสแอร์ (โซเฟีย)
อาคารผู้โดยสาร 3
- กัลฟ์แอร์ (บาห์เรน, มัสคัท)
- กาตาร์แอร์เวย์ (โดฮา)
- การบินไทย (กรุงเทพฯ-สุวรรณภูมิ)
- คาเธย์แปซิฟิก (ฮ่องกง)
- คูเวตแอร์เวย์ (คูเวต, นิวยอร์ก-เจเอฟเค)
- โคเรียนแอร์ (โซล-อินชอน)
- เจ็ตแอร์เวย์ (เดลลี, มุมไบ, อาเมดาบัด, แอมริซาร์)
- เจแปนแอร์ไลน์ (โตเกียว-นาริตะ, โอซะกะ-คันไซ)
- ซาอุดิอาราเบียนแอร์ไลน์ (เจดดาห์, แดมมาม, มาดินาห์
[เฉพาะบางฤดูกาล], ริยาดห์)
- ไซปรัสเตอร์กิสแอร์ไลน์ (อิชเมียร์)
- เตอร์กิชแอร์ไลน์ (อิสตันบูล-แอตตาตุร์ก, อิชเมียร์,
แอนตัลยา)
- เติร์กเมนิสถานแอร์ไลน์ (อาชกาบัต)
- บริติช แอร์เวย์ (ไมอามี)
- บีแมน บังกลาเทศ (ดากา, ดูไบ)
- ปากีสถานอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์ (การาจี, ละฮอร์,
อัสลามาบัด)
- มาเลเซียแอร์ไลน์ (กัวลาลัมเปอร์)
- มิดเดิ้ลอีสแอร์ไลน์ (เบรุต)
- ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ (ชิกคาโก-โอแฮร์, ซานฟรานซิสโก, ลอสแอนเจลิส,
วอชิงตัน-ดัลเลส)
- รอยัลจอร์แดเนียน (อากาดา, อัมมาน)
- รอยัลบรูไน (ดูไบ, บันดาร์เสรีเบกาวัน)
- เวอร์จิ้นแอตแลนติกแอร์เวย์ (เคปทาวน์, โจฮันเนสเบิร์ก,
ชิกคาโก-โอแฮร์, ซานฟรานซิสโก, ซิดนีย์, เซี่ยงไฮ้-ผู่ตง, เดลลี,
โตเกียว-นาริตะ, นิวยอร์ก-เจเอฟเค, นูอาร์ก, ไนโรบี, บอสตัน,
พอร์ทหลุยส์ (เริ่ม 29 ตุลาคม พ.ศ. 2550), มุมไบ, ไมอามี,
ลอสแอนเจลิส, โลกอส, วอชิงตัน-ดูลเลส, ฮ่องกง)
- สแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ (กิรูนา (เริ่ม 18 ธันวาคม พ.ศ. 2550),
โกเธนเบิร์ก-แลนด์เว็ตตาร์, โคเปนเฮเกน, สตอกโฮล์ม-อาร์แลนดา)
- เอสเอเอส บราเอเธนส์ (สตาเวนเกอร์, ออสโล)
- สิงคโปร์แอร์ไลน์ (สิงคโปร์)
- อเมริกันแอร์ไลน์ (ชิกคาโก-โอแฮร์, นิวยอร์ก-เจเอฟเค, บอสตัน,
ไมอามี, ลอสแอนเจลิส)
- ออลนิปปอนแอร์เวย์ (โตเกียว-นาริตะ)
- อียิปต์แอร์ (ไคโร, ลักซอร์)
- อีวีเอแอร์ (กรุงเทพฯ-สุวรรณภูมิ, ไทเป-ไต้หวัน เถาหยวน)
- เอติฮัดแอร์เวย์ (อาบูดาบี)
- เอธิโอเปียนแอร์ไลน์ (โรม-ฟีอูมีชีโน, แอดดิสอาบาบา)
- เอมิเรตส์ (ดูไบ)
- แอร์แคนาดา (คาลแกรี, เซนต์จอห์น (เฉพาะบางฤดูกาล),
โทรอนโต-เพียร์สัน, มอนทรีอัล, แวนคูเวอร์, ออตตาวา, เอ็ดมอนตัน,
ฮาลิแฟก)
- แอร์จาเมกา (คิงสตัน, มอนเตโก เบย์)
- แอร์ไชน่า (ปักกิ่ง)
- แอร์นิวซีแลนด์ (ลอสแอนเจลิส, โอ๊คแลนด์, ฮ่องกง)
- แอร์มอริเชียส (พอร์ทหลุยส์)
- แอร์อินเดีย (โกลกาตา, ชิกคาโก-โอแฮร์, เชนไน, เดลลี,
นิวยอร์ก-เจเอฟเค, มุมไบ, อาเมดาบัด)
อาคารผู้โดยสาร 4
- คอนติเนนตัล แอร์ไลน์ (ฮิวส์ตัน-อินเตอร์คอนติเนนตัล)
(เริ่มให้บริการ 2551)
- เคนย่าแอร์เวย์ (ไนโรบี)
- แควนตัส (กรุงเทพฯ-สุวรรณภูมิ,ซิดนีย์, เมลเบิร์น, สิงคโปร์,
ฮ่องกง)
- เคแอลเอ็ม โรยัลดัชต์แอร์ไลน์ (อัมสเตอร์ดัม)
- เคแอลเอ็ม ซิตีฮ๊อปเปอร์ (ร๊อตเทอร์ดัม, เอียนโฮเวน)
- เดลต้า แอร์ไลน์ (นิวยอร์ก-เจเอฟเค, แอตแลนตา) (เริ่ม 30 มีนาคม
พ.ศ. 2551)
- ทีเอเอ็ม ลินฮาสเอเรียส (เซาเปาโล-กัวรูลอส)
- บรัสเซลแอร์ไลน์ (บรัสเซลส์)
- บริติช แอร์เวย์ (กรุงเทพฯ-สุวรรณภูมิ, แกรนด์เคย์แมน, คาลแกรี,
คูเวต, เคปทาวน์, โคเปนเฮเกน, โคลคาตา, ไคโร, เจนีวา, ชิกคาโก-โอแฮร์,
เชนไน, ซิดนีย์, ซีแอตทัล/ทาโคมา, ซูริค, เซาเปาโล-กัวรูลอส,
เซี่ยงไฮ้-ผู่ตง, ดากา, ดาร์อิสซาลาม, ดีทรอยต์, ดูไบ, เดนเวอร์,
เดลลี, โดฮา, โทรอนโต-เพียร์สัน, เทลอาวีฟ, นิวยอร์ก-เจเอฟเค,
นูอาร์ก, แนสซัว, ไนโรบี, บรัสเซลส์, บอสตัน, บังกาลอร์,
บัลติมอร์/วอชิงตัน, บาเซล/มุลเฮาส์, บาห์เรน, บูโนสไอเรส-อีไซซา,
เบลเกรด, ปักกิ่ง, ปารี-ชาลส์ เดอ โกล, โปรวิเดนเชียลส์, ฟิลาเดลเฟีย,
ฟีนิกซ์, มอนทรีอัล, มอริเชียส, มัสคัท, มานากัว, มุมไบ,
เม็กซิโกซิตี, ริโอ เดอ จาเนโร-กาลาโอ, ลากอส, ลียง, ลูอันดา,
วอชิงตัน-ดัลเลส, เวียนนา, แวนคูเวอร์, สิงคโปร์, ออสโล, อักกรา,
อัมสเตอร์ดัม, อาบูจา, อาบูดาบี, อิสลามาบัด, เอ็นเทบเบ, ฮาราเร,
ฮิวส์ตัน-อินเตอร์คอรติเนนตัล)
- ศรีลังกาแอร์ไลน์ (โคลัมโบ, มาเล)
- แอร์มอลตา (ลูคา)
อ้างอิง
Шаблон:รายการอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Шаблон:คอมมอนส์-หมวดหมู่