เจดีย์โบตะทอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ เจดีย์โบตะทาว (พม่า: ဗိုလ်တထောင်ဘုရား, ออกเสียง: [bòtətʰàʊɴ pʰəjá]; หมายถึง "ทหาร 1,000 นาย") เป็นเจดีย์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในย่านใจกลางนครย่างกุ้ง ประเทศพม่า ใกล้แม่น้ำย่างกุ้ง เจดีย์สร้างขึ้นครั้งแรกโดยชาวมอญช่วงเวลาเดียวกันกับเจดีย์ชเวดากอง ตามความเชื่อท้องถิ่นสร้างเมื่อกว่า 2,500 ปีที่ผ่านมา และเป็นที่รู้จักในชื่อภาษามอญว่า "ไจเดอัต" (Kyaik-de-att) เจดีย์กลวงภายในและเชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุพระพุทธเจ้า
เจดีย์โบตะทองถูกทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและได้รับการบูรณะใหม่หลังสงคราม
ตามตำนานกษัตริย์มอญนามว่าโอะกะลาปะได้ให้นายทหารระดับแม่ทัพ 1,000 นาย ตั้งแถวถวายสักการะพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าที่พ่อค้าสองพี่น้อง ตปุสสะและภัลลิกะ อัญเชิญมาทางเรือจากประเทศอินเดีย และมาขึ้นฝั่งเมืองตะเกิงหรือดากอง ณ บริเวณนี้เมื่อ 2,000 ปีก่อน จึงสร้างเจดีย์โบตะทองไว้เป็นที่ระลึก พร้อมทั้งแบ่งพระเกศา 1 เส้นมาบรรจุไว้ ก่อนนำไปบรรจุในเจดีย์ชเวดากองและเจดีย์สำคัญอื่น ๆ
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เจดีย์ได้ถูกทำลายลงเพราะการทิ้งระเบิดโจมตีท่าเรือย่างกุ้งของกองทัพอากาศอังกฤษเจดีย์ถูกทิ้งไว้ในซากปรักหักพังสีดำ
การบูรณะเจดีย์เริ่มต้นขึ้นในวันเดียวกันกับที่ประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษคือ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 หลังจากที่นำซากปรักหักพังออกจากพื้นดินแล้วจึงเริ่มกระบวนการขุดที่ความลึกประมาณเจ็ดฟุต เพื่อสร้างฐานรากของเจดีย์องค์ใหม่ มีการขุดค้นเพิ่มเติมบริเวณใจกลางพื้นที่ที่ระดับความลึกสามฟุต พบกรุที่สร้างขึ้นอย่างดีและมีขนาดค่อย ๆ ลดลงจากด้านบน และปรากฏผอบขนาดใหญ่วางกลับด้านครอบทับสิ่งที่อยู่ภายใน ใจกลางกรุพบผอบหินทรงสถูป มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 23 นิ้วและสูง 39 นิ้ว รอบ ๆ ผอบพบรูปนะที่แกะสลักจากศิลาแลงเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์รักษา ผอบถูกพบฝังอยู่ในโคลนเพราะมีน้ำซึมเข้ามาในกรุตลอดช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ภายในกรุที่เก็บผอบหินทรงสถูปพบสมบัติล้ำค่าหลายชนิดเช่น อัญมณี, เครื่องประดับ, เพชรพลอย, จารึกดินเผา, และพระพุทธรูปทองคำ, เงิน, ทองเหลือง, หิน พระพุทธรูปจำนวนทั้งหมดภายในและภายนอกผอบราวกว่า 700 องค์ จารึกดินเผาบางส่วนกล่าวถึงการรักษาธรรมและเรื่องราวทางพุทธศาสนา
หนึ่งในแผ่นดินเผาที่ได้จากกรุซึ่งมีรูปพระพุทธรูปและแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากอายุและความชื้นก็ตาม ด้านหลังมีตัวอักษรที่ถูกจารึกไว้ซึ่งใกล้เคียงกับอักษรพราหมีแถบอินเดียตอนใต้ เป็นหลักฐานสำคัญของสมัยโบราณและได้รับการตีความโดย อูลูเปวิน ผู้อำนวยการนักโบราณคดี สมัยรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ซึ่งชี้ให้เห็นคำว่า "e" จาก "evam vadi" แสดงให้เห็นถึงตัวอักษรลักษณะแบบมอญโบราณ เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ความเชื่อที่ว่าผู้สร้างเจดีย์ในสมัยโบราณคือชาวมอญ
หลังการประชุมและหารือผู้นำทางศาสนา 15 คน จึงมีมติให้เปิดผอบต่อหน้าทุกคนในคณะกรรมการ การเปิดผอบมีการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อผอบหินถูกเปิดพบว่าภายในมีผอบสีทองซ้อนอีกชั้นหนึ่ง เป็นผอบลักษณะคล้ายกับผอบหินภายนอก เป็นทรงสถูปลักษณะคล้ายเจดีย์ ฝีมือประณีต แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในศาสนา โคลนบางส่วนได้ซึมมาด้านข้างและฐานชั้นนี้ เมื่อล้างและร่อนด้วยตะแกรงจึงพบหินมีค่า ทอง และอัญมณีรอบฐานชั้นนี้ ผอบชั้นที่สองถูกเปิดภายในพบสถูปทองคำบริสุทธิ์ขนาดเล็กตั้งอยู่บนถาดเงิน และข้างสถูปทองคำมีรูปหินแกะสลักสูง 4½ นิ้ว เป็นฝีมือโบราณขั้นสูง
เมื่อสถูปทองถูกเปิดออกก็พบกระบอกทองคำขนาดเล็ก ยาว 3/4 นิ้ว (19 มิลลิเมตร) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/12 นิ้ว (11 มิลลิเมตร) ภายในกระบอกพบพระธาตุขนาดเล็กสององค์ ขนาดเล็กเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และสิ่งที่เชื่อว่าเป็นพระเกศาของพระพุทธเจ้า เป็นเส้นพระเกศาม้วนเป็นวงกลมและยึดติดเล็กน้อยกับยางรักที่ซึ่งเห็นเป็นจุดทองฉาบปิดไว้
เจดีย์ใหม่มีการออกแบบให้มีลักษณะตามเดิมและสูง 131 ฟุต 8 นิ้ว (40.13 เมตร) บนฐาน 96 ฟุต (29 เมตร) × 96 ฟุต (29 เมตร) แหล่งท่องเที่ยวหลักคือภายในของเจดีย์ซึ่งกลวง ทางเดินมีลักษณะเหมือนเขาวงกต ผนังบุด้วยทองคำมีกระจกกั้น ภายในแสดงโบราณวัตถุและสิ่งประดิษฐ์โบราณจำนวนมากที่เคยฝังไว้ภายในเจดีย์ก่อนหน้านี้